วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ศรัทธา

ศรัทธา เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล เพลงศรัทธา ขับร้องโดย หิน เหล็ก ไฟ ผู้แต่งก็แต่งได้ดีมาก ขอชื่นชมไว้ ณ ที่นี้ ทั้งผู้แต่งและผู้ขับร้อง ไป ๆ มา ๆ บล็อกนี้จะกลายเป็นเน้นแต่เรื่องเพลง ก็เพราะชอบน่ะ ลองดูเนื้อเพลงละกัน ได้มาจาก www.siamzone.com

ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน ความฝัน เป็นจริงต้องทนสู้ไป ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มาเส้นชัย ไม่มา ต้องไปหามัน รางวัล มีไว้ให้คนตั้งใจ ขวากหนาม ทิ่มแทงก็ผ่านพ้นไป โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย ใจสู้ หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ ที่มา รู้ดีไม่รู้ที่ไป คนเรามันเลือกเกิดเองไม่ได้แต่เราเลือกได้จะเป็นเช่นไรเลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเราหลายคน เชื่อในเรื่องโชคชะตาบางคนเชื่อมั่นในตัวเองชีวิต เรากำหนดของเราเองจะแพ้ชนะไม่เกรงจะสักเท่าไร ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมาโอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ เรื่องราวมากมายที่ทำ ได้ใจโอบก็หวั่นไหวแต่ก็มีเหตุผลสำคัญ ให้บางคนยอมถอดใจ เย.......ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ผู้ชนะ

เพลงนี้ก็ให้กำลังใจดีมาก ไม่ได้ต้องการชนะใครหรอก แต่ต้องการชนะใจตนเองมากกว่า เป็นเพลงยอดฮิตของโลโช ได้เนื้อเพลงมาจากเว็บไซด์ สยามโซน.คอม(www.siamzone.com)
หากชีวิตคือการดิ้นรน คนหนึ่งคนต้องเดินก้าวไปให้เรารู้เส้นทางแห่งใจ แล้วก็ไปให้ถึงที่นั่นเพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำ ได้ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้ ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนวคนแน่แน่วเท่านั้นผู้ชนะ หากปัญหาเข้ามาถ่างโถม อย่าไปโหมให้จงผ่อนคลาย ค่อย ๆ คิดสบาย ๆ ปล่อยมันไปตามเรื่องสักวัน เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้ ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้ ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนวคนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี ได้มาเท่ากัน เ หมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้ ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ภาษาดอกไม้

ใครพูดภาษาดอกไม้กับคุณ คุณชอบไหม "ภาษาดอกไม้"ฟังดูไพเราะสวยงามและคล้าย ๆ จะหอมด้วยเวลาได้ยิน
คำตรงข้ามกับภาษาดอกไม้ น่าจะเป็นอะไรดี ภาษาดอกอุตพิดหรือภาษาสุนัขเน่าดี ฟังดูก็รู้สึกน่าเกลียดแล้วเหม็นอีกต่างหาก เราพยายามเตือนตนอยู่เสมอว่า จะต้องใช้ภาษาดอกไม้กับคนอื่น เพื่อจะได้รับภาษาดอกไม้ตอบ้เช่นกัน ลิงคอร์นกล่าวคำพูดหนึ่งว่า "น้ำผึ้งเพียงหยดเดียวจับแมลงวันได้มากกว่าน้ำบอระเพ็ดหนึ่งแกลลอน"

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

การสื่อสารกับผู้ป่วยสมองเสื่อม

เราก็ไม่ได้เป็นหมอหรอกนะ แต่ที่บ้านมีคุณยายอายุ 97 ปี บางเวลาท่านก็จำอะไรได้ดี บางเวลาท่านก็จะหลง ๆ ลืม ๆ มีบางคนที่ไม่ใช่หมออีกเหมือนกันบอกว่า คนแก่แล้วก็จะเป็นโรคสมองเสื่อม จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เนื่องจากอยากรู้ก็เลยไปค้นหาตำราอ่าน แล้วเลยได้ความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสื่อสารกับผู้ป่วยสมองเสื่อม ดังนี้
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้ยินคุณ เพราะผู้ป่วยสมองเสื่อมส่วนมากมักเป็นคนชราที่มีปัญหาด้านการฟัง
2. การกำจัดสิ่งรบกวนออกไปให้หมด เช่น ปิดโทรทัศน์
3. เรียกชื่อผูป่วยเพื่อเรียกความสนใจก่อนพูด
4. จ้องตาผู้ป่วยขณะพูด และพูดช้า ๆ ชัด ๆ ด้วยเสียงที่นุ่มนวล ไม่ดังหรือเบาจนเกินไป
5. ใช้ประโยคง่าย ๆ และพูดซ้ำถ้าจำเป็น
6. ให้เวลาเพียงพอในการตอบ
7. หากผู้ป่วยไม่เข้าใจให้เรียงประโยคใหม่
8. ใช้สีหน้าและภาษามือช่วย รวมทั้งใช้การเน้นเสียง
9. ถ้าผู้ป่วยยังไม่เข้าใจให้ใช้วิธีวาดภาพ หรือใช้อุปกรณ์ประกอบการพูด
10.อย่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเร็วนัก
11.ตั้งใจฟังผู้ป่วยและอย่าพูดแทนผู้ป่วย
12.คอยให้กำลังใจและคำชม
13.อย่าเครียดระหว่างการสนทนา
ก็ได้ลองทำหลายข้อแล้ว รู้สึกว่าได้ผลดี หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับคนที่ดูแลคนชราหรือคนป่วยโรคสมองเสื่อม

คิดบวกดีกว่าคิดลบ

ช่วงนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้เจอแต่คนคิดลบ ทำให้เราสุขภาพจิตเสียไปด้วยเหมือนกัน เลยอยากเชิญชวนให้
คิดบวกดีกว่า เอ! ดียังไงนะ ลองมาดูเรื่องต่อไปนี้
เรื่องแรก คุณป้าบ้านข้างซ้ายมีลูก 4 คน รับราชการหมดเลย เวลาคุณป้าไม่สบายไปโรงพยาบาลของทางราชการสามารถเบิกได้ คุณป้าท่านนี้บอกว่าเบื่อตัวเองที่ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจความดันโลหิตสูงและรับยากับหมอทุกเดือน ส่วนคุณป้าบ้านข้างขวามีลูก 3 คน ค้าขายส่วนตัว รายได้ก็ไม่มากเท่าไร คุณป้าท่านนี้เป็นโรคที่ต้องไปหาหมอเป็นประจำเหมือนกันคือเป็นโรคหัวใจเบิกอะไรไม่ได้เลย แต่ดูท่านมีความสุขดี ท่านบอกว่าดีนะที่เป็นแค่นี้ บางคนเขาเป็นมากกว่าเราอีก คิดว่าคุณป้าท่านไหนจะมีสุขภาพจิตดีกว่ากัน
ลองอีกสักเรื่อง คนเก็บของเก่าขาย เก็บบ้างซื้อบ้าง ทำทุกวัน ไปขายทุกวัน ได้กำไรวันละ 100 – 300 บาท ตอนเย็นก็พาลูก 2 คนไปทานข้าว ดูอารมณ์ดี หัวร่อต่อกระซิกกับลูก ๆ ส่วนอีกคนข้าง ๆ บ้านอีกเหมือนกัน มีร้านค้าใหญ่โต มีคนเข้ามาซื้อของทั้งวัน หน้านิ่วคิ้วขมวด บ่นว่าไม่ได้ไปไหนเลย อยากพักแต่พักไม่ได้ คิดว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน (นี่ไม่ใช่จะให้เปลี่ยนอาชีพไปซื้อของเก่ากันหมด แต่ถ้าเราคิดบวกอาชีพไหนๆ ก็ดีทั้งนั้นแหละ)
ใครเจอคนคิดลบ พยายามคิดบวกเข้าไว้ รักษาใจตนเองไว้ให้ดี เพื่อความสุขของทุกท่านทั้งโลกนี้และโลกนี้

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2550

อดเพื่อสุขภาพ

สนใจเรื่องการอดเพื่อสุขภาพ เพราะดูแล้วน่าจะทำให้รูปร่างดี และที่สำคัญก็คงจะทำให้ประหยัดด้วย ได้อ่านจากหนังสือ อดเพื่อสุขภาพ ศิลป์และศาสตร์แห่งธรรมชาติบำบัด ของนพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ก็เลยทราบว่าโรคต่าง ๆ เกิดจากการสะสมพิษในนร่างกาย เนื่องจากอาหารบางชนิดก่อให้เกิดภาวะร่างกายเป็นกรด นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่เราใส่ไปในอาหาร เช่น สารกันบูด สารแต่งสี ปรุงกลิ่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วย ฉะนั้น หนทางที่จะนำร่างกายกลับคืนสู่สุขภาพที่ดีได้ จึงจำเป็นต้องอาศัย การเก็บกวาดครั้งใหญ่ สิ่งหมักหมมทั้งหลายจะถูกขจัดออกไปได้อย่างแท้จริง ก็ด้วยการทำให้เกิดสภาวะท้องว่างอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือการ "อด" นั่นเอง การอดมีผลดีต่อร่างกายคือ ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ได้พัก ทำให้ร่างกายได้ย่อยสลายสารพิษและขจัดมันออกไป ช่วยให้เซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆสะอาดสะอ้าน ช่วยจรรโลงการทำงานของต่อม ทำให้สมองปลอดโปร่ง จิตใจสบาย ทำให้ประสาทว่องไว ความจำดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยทำลายอนุมูลอิสระ เป็นยาสงบประสาทอย่างธรรมชาติ หารายละเอียดดูได้

ชีวิตลิขิตเอง

เพลงที่ชอบอีกเพลง ชีวิตลิขิตเอง ของ เบิร์ด ธงไชย แม็คอินไตย ความหมายดีนะ
ก่อนเคยเชื่อในลิขิตฟ้าดิน ปล่อยชีวิตไปตามโชคชะตา แต่ฝันไม่เคยถึงฝั่ง ผิดหวังในใจเรื่อยมา เพราะฟ้าไม่มีหัวใจ
จะเลวหรือดีมันอยู่ที่คน จะมีหรือจนมันอยู่ที่ใจ ดินฟ้าไม่เคยลิขิต ชีวิตจะเป็นเช่นไร อย่าเลยอย่าถามฟ้า
ปีนไปให้สูงที่สุด อย่างที่คิดฝันไว้กับใจ จะยากเย็นเท่าไร บอกใจว่าจะไม่กลัว
* ไม่รอให้ฟ้าดินลิขิต ไม่ปล่อยให้ชีวิตผ่านไป ไม่ว่าจะสูงจะไกลเท่าไหร่ จะไขว่จะคว้าจะฝ่าฟัน**
ไม่ยอมให้ฟ้าหรือใครลิขิต อยากมีชีวิตที่ใฝ่ (และ) ฝัน (ตั้งแต่วันนี้) นี่คือชีวิตลิขิตของเรา
เปรียบชีวิตเป็นดังบทละคร จะยอมให้ใครเขียนบทของเรา ชีวิตจะเป็นเช่นไร ก็ขอให้เป็นเพราะเรา เรื่องราวที่เราต้องเขียน
(ซ้ำ * , **) (ซ้ำ * , **) ตั้งแต่วันนี้ นี่คือชีวิตลิขิตของเรา

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วเราจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังว่า รู้งี้ทำดีตั้งแต่เมื่อวานเสียก็ดี อ่านแล้วงงไหม
วันนี้เป็นวันของคุณ เป็นวันสำหรับการทำสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับคุณ เป็นวันที่คุณได้รู้ว่า
การมีชีวิตอยู่นั้นดีแค่ไหน คุณเป็นส่วนหนึ่งของโลก คุณมีสิทธิ์สำหรับความสุขและสิ่งดี ๆ คุณมีค่าควรแก่การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในวันนี้

เรื่องของมิตรภาพ

ว่าด้วยมิตรภาพ อยู่ในบทที่ 6 ของหนังสือ สร้างชีวิตและสังคมตามหลักคำสอนของขงจื๊อ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดยคุณละเอียด ศิลาน้อย ขงจื๊อสอนไว้ว่า เพื่อนจะต้องตักเตือนกันและกันอย่างจริงจัง ด้วยความเปิดเผยจริงใจและตรงไปตรงมา อีกทั้งพี่น้องกันก็จะต้องสุภาพอ่อนโยนต่อกันและกันด้วย จงตักเตือนเพื่อนของคุณด้วยความสัตย์ซื่อและด้วยศรัทธา และจงพยายามนำทางให้แก่เขาด้วยความกรุณา แต่ถ้าพบว่าเขาเป็นคนว่ายากหรือดื้อด้านก็จงหยุด จงอย่าพยายามลดค่าของตัวเอง ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อที่อยากเป็นคนดี ก็ใช้หนังสือสอนตนเองจะดีมาก ๆ ถ้าอยากอ่านให้ละเอียดต้องหาหนังสือนี้อ่าน

นิสัยของคนเลือดกรุ๊ปต่าง ๆ

อยากรู้นิสัยตัวเองจากกรุ๊ปเลือด เลยไปค้นคว้าพบในเว็บhttp://medinfo.psu.ac.th/departments/pathology/Education/BloodBank/nisai.html
ลองอ่านดู คนเลือดกรุ๊ปเอ ส่วนดีก็มีเยอะ ที่ไม่ดีก็มีบ้าง รู้สึกต้องปรับปรุงตัวหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน

การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเออย่างข้าพเจ้า ได้แก่ โยคะ รำมวยจีน กอล์ฟ เต้นรำ ยืดกล้ามเนื้อ โดยเฉลี่ยสัปดาห์หนึ่งควรออกกำลังกาย 2-4 วัน วันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย เริ่มต้นด้วยการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง เช่น เดินอย่างช้า ๆ ประมาณ 5-10 นาที เพื่อทำให้กล้ามเนื้อได้ปรับตัวและทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น ยืดคลายกล้ามเนื้อด้วยท่ากายบริหารต่าง ๆ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที การบริหารด้วยท่าต่าง ๆ จะช่วยลดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ สำหรับคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายใหม่ ๆ ควรออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไม่เหนื่อยมาก ก่อนจะเพิ่มความแรงขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หลังจากออกกำลังกายแล้ว ควรจะทำให้ร่างกายเย็นลงด้วยการเดินช้า ๆ ต่อสัก 10 นาที เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุล โอ้โฮ! แล้วข้าพเจ้าต้องไปฝึกโยคะอีกละซี (เคยไปหัดมาแล้ว 1 ครั้ง แล้วนี่ก็ซื้อซีดีมาประดับบารมีอีก 1 แผ่น ยังไม่ได้เปิดดู) ต้องหัดรำมวยจีน (ใช่รำไท้เก็กหรือเปล่าก็ไม่รู้ เคยไปหัดมาแล้วครั้งนึง) ต้องหัดตีกอล์ฟ (เคยแต่ตีกอล์ฟสนามจำลอง) ต้องหัดเต้นรำ (เคยเรียน ก็เหยียบเท้าคนเต้นด้วย) ปรากฏว่าที่ออกกำลังกายตอนนี้ไม่ตรงสักอย่าง เนื่องจากได้แต่ปั่นจักรยาน (อยู่กับที่) และเต้นแอโรบิค

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ให้อภัย....การให้ที่ยิ่งใหญ่

เนื่องจากฟังเยอะ และอ่านแยะ เลยจำไม่ได้ว่าฟังหรืออ่านมาจากที่ไหน ที่บอกว่าให้อภัย...การให้ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่จริง ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง เพราะเป็นการชนะใจตนเองขั้นสูง ปกติถ้าเราเกิดอารมณ์เสียจากคนหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต บางทีอำนาจฝ่ายต่ำจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องเอาชนะให้ได้ แต่พอนึกถึงคำว่า ให้อภัย ต้องหยุดทบทวนความรู้สึก ตั้งสติ แล้วคิดใหม่ว่าเขาคงไม่ตั้งใจ พยายามปรับความรู้สึกตัวเองว่าไม่โกรธ เขาเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนเราที่อาจจะทำอะไรผิดพลาดได้ ไม่มีใครดี 100% แล้วก็ไม่มีใครไม่ดี 100% เมื่อเราปรับใจตัวเองได้ สิ่งที่ได้รับคือตัวเราเองจิตใจผ่องใสขึ้นอีกเยอะเลย

ภูมิใจจังที่มีบล็อกเป็นของตัวเอง

ไม่น่าเชื่อ ว่าเราจะมีบล็อกเป็นของตัวเอง เคยแต่อ่านบล็อกของคนอื่น รู้สึกภูมิใจตัวเอง เพราะไม่คิดว่าจะทำได้ ก็ทำได้ ต้องแสดงความชื่นชมกับ Google และทีมงานที่มีระบบการสอนคนให้เขียนบล็อกอย่างเป็นขั้นตอน จากคนที่ไม่เข้าใจและไม่เป็น ก็สามารถทำได้ ต้องขอชื่นชมและบันทึกความดีของ Google ไว้ ณ ที่นี้

คนล่าฝัน

แสงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า มีเวลาให้คนเราอีกมากมาย พาชีวิตก้าวไปสู่ยังจุดหมาย ถึงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็น่าลอง มองดูฟ้า ฝูงนกกาเที่ยวหากิน ไปยังถิ่นแดนไกลสุดสายตา เหมือนย้ำเตือนว่าชีวิตล้วนเกิดมา แสวงหาต่อสู้และดิ้นรน** โอ้ชีวิตมีอะไรตั้งเยอะแยะ มีเกิดแก่เจ็บตายคล้าย ๆ กัน แต่สิ่งที่มีไม่เหมือนคือความฝัน อยู่ที่ใครจะล่ามันให้อยู่มือ คนเป็นคนย่อมปะปนด้วยชั่วดี ในศักดิ์ศรีมีทั้งจนและร่ำรวย มีความรักเป็นเรื่องราวอันสดสวย ความผิดหวังเป็นแค่เรื่องธรรมดา ฟ้าเบื้องบนน้ำเบื้องล่างดินขวางหน้า ข้ามไปเถิดไขว่คว้าความใฝ่ฝัน มีชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าปล่อยมันซังกะตายไปวัน ๆ แม้ในข้างคืนเดือนดาวอันมืดมิด ยังมีสิทธิ์คิดฝันอันเฉิดฉาย ดุจแสงเทียนนำทางสว่างไกล ดุจหิ่งห้อยพร่างพรายในค่ำคืน ยืนเดียวดายในความกลัวหลอกตัวเอง เท่ากับเร่งรัดไปสู่ความล้มเหลวยังมิทันได้ลงมือทำดีเลว กลับถูกเปลวไฟความกลัวเผาตัวตน แผ่นฟ้ากว้าง เขาสูงใหญ่ยังเคยข้าม ฝันงดงามถามหน่อยเคยข้ามไหม ไปยังฝั่งที่ตั้งฝันอันแสนไกล แต่สุดท้ายก็ได้ฝันนั้นมาครอง***ลองดูเลยเกิดมาเป็นคนล่าฝัน มีรางวัลฝันใฝ่ให้ใฝ่ฝัน มีชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าปล่อยมันซังกะตายไปวันๆ ***
นี่ก็อีกเพลง ที่รูสึกว่าชื่นชอบพอสมควร เพลงคนล่าฝัน คาราบาวขับร้อง



อย่ายอมแพ้

หากวันนี้...เราล้มลง ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่ หากยังคงมีหนทาง ถ้ายังมียิ้มสดใส...ก้าวไป...อย่าหวั่นไหวหวาดกลัว...พร้อมทนทุกข์หมองหม่น ผจญความมืดหมองมัว...ไม่กลัวจะฝันถึงวันใหม่...หากวันใดอ่อนแอ...ท้อแท้อย่าหวั่นไหว ขอให้ใจ...ไม่สิ้นหวัง ปัญหาแม้จะหนัก ก็คงไม่เกินกำลัง อย่าหยุดยั้ง...ก้าวไป ขอ...อย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ...แม้จะร้องไห้...จงลุกขี้นสู้ไป จุดหมาย...ไม่ไกลเกินจริง
เพลงอย่ายอมแพ้ อ้อม สุนิสา ขับร้อง เป็นเพลงที่ชื่นชอบ ให้กำลังใจดีจังเลย

ทัศนคติบวกดีกว่าไหม

เขียนคิดบวกดีกว่าไหม ไปแล้ว แต่ก็ลบเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้อยากเขียนใหม่ เปลี่ยนเป็นเรื่องทัศนคติบวกดีกว่าไหม ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องกับคิดบวกนั่นแหละ ทัศนคติ หมายถึง ท่าที ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ มีผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับสูง กล่าวไว้ว่า
ความคิดคุณเป็นอย่างไร อนาคตของคุณก็เป็นอย่างนั้น
ทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างนั้น
ทรัพย์สมบัติมากเท่าใดก็สู้ทัศนคติที่ดีไม่ได้
ทัศนคติที่ดีกลับสามารถทำให้คุณได้ทรัพย์สมบัติมากมาย
อยากเปลี่ยนโชคชะตา ให้เปลี่ยนทัศนคติก่อน
การให้เงินทองแก่ผู้อื่นเป็นวิธีขั้นต่ำ
การให้ความสามารถแก่ผู้อื่นเป็นวิธีขั้นกลาง
การให้ทัศนคติแก่ผู้อื่นเป็นวิธีขั้นสูง

ความเปิ่นของข้าพเจ้า

ดูซี น่าอายไหม ความเปิ่นของข้าพเจ้า เขียนบทความเสร็จไป 5 เรื่อง เห็นตัวหนังสือเล็ก กลัวอ่านไม่ออก เลยแก้ไขทุกวัน เนื่องจากเพิ่งหัดเขียนบล็อก แก้ไขก็ไม่ค่อยจะเป็น แต่พยายามแก้ไขทุกวัน ตั้งใจเกินไปหรือไงก็ไม่รู้ เรื่อง คิดบวกดีกว่าไหม หายไปทั้งเรื่องเนื่องจากคลิกผิด (แน่ ๆ เลย) เดี๋ยวจะต้องเขียนใหม่ แล้วอีกอย่างคือกำลังหาหนทางว่าจะแก้ไขให้หัวข้อบทความตัวโตขึ้นกว่าตอนนี้ เพราะหัวข้อเล็กกว่าเนื้อหา ดูไม่ค่อยสวยเลย เมื่อวานใครก็ไม่ทราบช่วยแก้ไขให้ ก็ดูสวยดีอยู่แล้ว แต่ก็กลับมาตัวเท่าเดิม งงมาก ๆ เลย แต่ก็ขอขอบคุณมาก ๆ เลยที่ช่วยแก้ไขให้ ถ้าจะให้ดีช่วยคอมเมนท์บทความด้วย ก็จะยิ่งขอบคุณยิ่งขึ้น

ทำดีเพื่อในหลวง

อยากเชิญชวนทุกท่านที่เข้ามาอ่านได้ร่วมกันทำดีเพื่อในหลวง เพราะพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเราเยอะแล้ว ถ้ามีหนทางใดที่พวกเราจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้ รวมทั้งตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ก็น่าจะได้ทำกัน โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน ถ้าใครคิดว่าได้ทำอะไรดี ๆ ก็เล่าสู่กันฟังบ้าง ถือว่าเป็นการเผยแพร่ความดีให้ทราบทั่วกัน ซึ่งน่าจะสร้างสรรสังคมได้ดีมากๆ เลย ใครไม่ชมเราชมตัวเองก็ได้ไม่เห็นจะเป็นอะไร จริงไหม สำหรับเราเองคิดว่า จะตั้งใจทำงานทั้งงานส่วนรวมและส่วนตัว ทำตัวไม่ให้เป็นภาระของผู้อื่นและสังคม และที่สำคัญจะบริจาคโลหิตในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 แน่นอน

วันนี้จะทำอะไรดี

เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า วันนี้จะทำอะไรดี ถ้ามีภารกิจมากมายหลายอย่าง ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังดี เลยไม่ทำซักอย่าง ไปเที่ยวเล่นดีกว่า หรืออีกทีก็ไม่มีอะไรจะทำ นอนดีกว่า ไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่สันหลังยาวขึ้น เราเคยเป็นอย่างนี้เป็นประจำ เพราะเป็นคนที่มีภารกิจมากมายหลายอย่างทั้งงานส่วนตัวและส่วนรวม บางครั้งทำไม่ทัน เลยลองใช้ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมสั่งสอนจากผู้รู้ว่า ควรมีการวางแผนงานในแต่ละวันเพื่อจะได้มีการใช้เวลาในแต่ละวันให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์มากที่สุด ก่อนนอนก็จะมีการวางแผนในวันรุ่งขึ้นว่าจะทำอะไรเวลาไหน บันทึกไว้ ช่วยจำได้ดีมาก บางอย่างถ้าไม่จดไว้ลืมแน่ ๆ เ พราะเคยมีคนบอกว่า จำดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมดจดดีกว่าจำ ก็เริ่มทำแบบนี้เป็นประจำต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว รู้สึกว่าได้ผลดี ทำให้ทำงานได้ครบถ้วนมากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนกระตือรือล้นมากขึ้น ตื่นเต้นทุกวันในการที่จะทำงานให้ได้ครบตามที่วางแผนไว้ รู้สึกภูมิใจตัวเองว่าสามารถบริหารเวลาได้

บริจาคโลหิตด้วยกันนะ

เราเริ่มบริจาคโลหิตมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนเรียน ที่จริงเป็นคนที่กลัวเข็มอย่างมาก ตอนเป็นเด็กนักเรียนอนุบาลจำได้ว่าถ้าเห็นหมอมาฉีดวัคซีนจะวิ่งหนี คุณครูต้องคอยตามกลับมา เมื่อโตขึ้นถ้าไม่สบายก็จะใช้วิธีทานยาจะไม่ค่อยฉีดยาเท่าไร ถ้าตั้งใจนับครั้งกันจริง ๆ สำหรับการฉีดยาก็คงจะนับได้ แต่พอดีไม่ได้ตั้งใจนับก็เลยไม่รู้ว่ากี่ครั้ง พอโตมากขึ้น (หมายถึงอายุ) เห็นเขาบริจาคโลหิตกันก็อยากบริจาคบ้าง เพราะคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างดีที่สุด โดยเราสละเลือดของเราให้ผู้อื่น ก็ไม่ได้คิดมากหรือไม่ได้ศึกษาว่าจะเป็นผลเสียต่อร่างกายตัวเองหรือไม่อย่างไร แต่เห็นเขาบริจาคกันเยอะแยะ แล้วหมอและพยาบาลก็เป็นคนดำเนินการ คงไม่อันตรายแน่ ๆ เลือกการบริจาคครั้งแรกในวันเกิด จากนั้นก็มีครั้งที่สองหลังจากครั้งแรกประมาณ 3 เดือนชวนพี่สาวไปบริจาคด้วย ซึ่งปกติพี่สาวก็จะเป็นคนกลัวเข็มมาก ๆ เหมือนกัน แต่เห็นอาการของเราชวนแบบอยากให้ไปด้วยมาก ๆ เขาคงเอาใจน้องก็เลยไปด้วยกัน แล้วเราก็บริจาคมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง นี่ก็ประมาณ 20 ครั้งแล้ว จะพยายามจัดวันบริจาคตรงกับวันพิเศษมาก ๆ อาทิเช่น วันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันเฉลิมพระชนม์พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันปิยมหาราช แล้วก็วันเกิดของตัวเอง นี่ก็บริจาคไปเมื่อครั้งก่อนในเดือนสิงหาคม 2550 กว่าจะถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ก็ประมาณ 4 เดือน ครบรอบบริจาคพอดี (ปกติ 3 เดือนก็บริจาคได้แล้ว) เดี๋ยวนี้มีความรู้เพิ่มขึ้นว่า การบริจาคโลหิตเป็นการเอาโลหิตออกจากร่างกายประมาณ 300-400 ซีซี ไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่จะช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานได้ดีขึ้น สามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน และรักษาสมดุลให้อัตราการสร้างใหม่ทดแทนเท่ากับที่เสียไป และหน่วยงานรับบริจาคจะจ่ายยาเม็ดธาตุเหล็กให้ทานเพื่อบำรุงหลังจากบริจาคโลหิตแล้ว ผู้บริจาคควรทานยาให้หมดตามที่กำหนดเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

มาออกกำลังกายกันเถอะ

มาออกกำลังกายกันเถอะ ที่ชวนเพราะรู้สึกกับตัวเองว่าเมื่อก่อนไม่ค่อยออกกำลังกาย สุขภาพก็เลยไม่ค่อยดีหายใจไม่ค่อยสดวก บางครั้งเหมือนหลอดลมตีบต้องไปฉีดยาขยายหลอดลม เวลาเป็นหวัดก็จะเป็นนานเกือบเดือนกว่าจะหาย แล้วก็ไม่เคยมีเหงื่อออกเลย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดปกติคล้าย ๆ กับไม่มีต่อมเหงื่อเลย แต่เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาได้ไปออกกำลังกายที่ศูนย์ออกกำลังกาย (ฟิตเนส)ของทางราชการ ซึ่งคิดอัตราค่าบริการถูกดี ได้แก่ ปั่นจักรยาน ซิทอัพ แล้วก็เครื่องมือออกกำลังกายอีกหลายอย่างซึ่งเรียกไม่ถูก ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายโดยการเดินเพราะรู้สึกเหมือนกับเห็นผลงานช้า และจริง ๆ แล้วก็อยากจะเต้นแอโรบิค แแต่รูสึกว่าเต้นไม่ค่อยเป็น ขากับแขนไม่สัมพันธ์กัน หลังจากไปออกกำลังกายที่ศูนย์ฟิตเนส โอ้โฮ! เหงื่อมาจากไหนก็ไม่รู้เยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นมาก และมาช่วงกลางปีนี้ได้ลองเต้นแอโรบิค ผิด ๆ ถูก ๆ ก็ลองดู เดี๋ยวนี้พอเต้นได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไร ตอนนี้เลยออกกำลังกายทั้งฟิตเนสและแอโรบิค รู้สึกว่าตัวเองสุขภาพดีขึ้นมากทีเดียว ไม่มีอาการหายใจไม่สดวกอีกเลย แล้วเวลาเป็นหวัดก็จะเป็นแป๊บเดียวก็หาย เหมือนกับฟื้นตัวได้เร็ว อยากแนะนำให้อ่านหนังสือ ออกกำลังกายเป็นยาวิเศษ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบทพระราชนิพนธ์ เรื่อง กีฬาเป็นยาวิเศษ แก่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเป็นบทพระราชนิพนธ์นำในหนังสือเล่มนี้